เมนู

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา


พึงทราบวินิจฉัยแม้ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในนาต่อไป :- พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงนาก่อน จึงตรัสว่า ที่ซึ่งปุพพัณชาติ หรืออปรัณ-
ชาติเกิด ชื่อว่า นา. บรรดาปุพพัณชาติเป็นต้นนั้น ข้าวเปลือก 7 ชนิด
มีข้าวสาลีเป็นต้น ชื่อว่า ปุพพัณชาติ. พืชทั้งหลายมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษ
เป็นต้น ชื่อว่า อปรัณชาติ. แม้ไร่อ้อยเป็นต้น ก็สงเคราะห์เข้าในบทว่า
อปรัณชาติ นี้เหมือนกัน. ภัณฑะที่เขาเก็บไว้โดยฐาน 4 แม้ในทรัพย์ที่ตั้ง
อยู่ในนานี้ ก็มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ส่วนในภัณฑะที่เกิดขึ้นในนานั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมื่อภิกษุแย่งชิง
เอาธัญชาติมีรวงข้าวสาลีเป็นต้นก็ดี ใช้มือนั่นเองเด็ดเอาหรือใช้เคียวเกี่ยวเอา
ทีละรวง ๆ ก็ดี หรือถอนรวมกันเอาทีละมาก ๆ ก็ดี วัตถุปาราชิก จะครบใน
เมล็ด ในรวง ในกำ หรือในผลมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษเป็นต้นใด ๆ เมื่อ
เมล็ดเป็นต้นนั้น ๆ สักว่าเธอให้หลุดจากขั้ว เป็นปาราชิก. ส่วนลำต้นก็ดี
ใยก็ดี เปลือกก็ดี ที่ยังไม่ขาดแม้มีประมาณน้อย ก็ยังรักษาอยู่. ซังข้าวเปลือก
แม้เป็นของยาว, ลำต้นของรวงข้าวเปลือก ยังไม่หลุดออกจากซังข้าวภายใน
เพียงใด, ยังรักษาอยู่เพียงนั้น เมื่อพื้นเบื้องล่างของลำต้น หลุดออกจากซัง
ข้าวแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม พระวินัยธรพึงปรับอาบัติด้วยอำนาจราคา
สิ่งของ. ก็เมื่อภิกษุใช้เคียวเกี่ยวถือเอา ครั้นเมื่อลำต้นข้าวอยู่ในกำมือ แม้
ขาดแล้วในตอนล่าง, ถ้ารวงทั้งหลายยังเกี่ยวประสานกันอยู่, ยังรักษาอยู่ก่อน.
แต่เมื่อเธอสางยกขึ้นแม้เพียงปลายเส้นผม, ถ้าวัตถุปาราชิกครบ เป็นปาราชิก.